SEARCH

Published caption Pol Maj Gen Surachate Hakparn, right, acting deputy chief of the Tourism Police Bureau,talks to Siripas Manae, a Chinese woman arrested for allegedly using falsified documents to obtain a Thai identification card. Patipat Janthong *********  พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. พูดคุยกับน.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจท่องเที่ยวในลักษณะทัวร์ศูนย์เหรียญ ที่สนโชคชัย โดยน.ส.สิริภัสสร์เป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอรเนชั่นเเนล ทราเวล กรุ๊ป(เออีซี) จำกัด ทำการปลอมแปลงหลักฐานเพื่อใช้สวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาตั้งแต่ปี 2545 รวมระยะเวลากว่า 15 ปี โดยเริ่มสวมบัตรประชาชนโดยใช้ชื่อ น.ส.นาคำ มาแนะ ซึ่งเป็นชาวมูเซอที่มีตัวตนอยู่จริง ทำให้น.ส.นาคำ ได้รับความเดือดร้อนเนื่องจากไม่สามารถทำบัตรประชาชนได้ จากการสอบสวนพบว่ากรณีนี้ด้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่รัฐในการสวมบัตร คณะที่การคาดการณ์น่าจะมีกรณีการสวมบัตรประชาชนทั่วประเทศกว่า 3 หมื่นคน เมื่อเวลา 11.00 น. วันที่ 22 พฤศจิกายน ที่สน.โชคชัยพล.ต.ต.ชัยวัฒน์ ฉันทวรลักษณ์ รองผบช.ภ.6 พร้อม ด้วย พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ หักพาล รรท.รอง ผบช.ทท. พ.ต.อ.อาชยน ไกรทอง รอง ผบก.ทท.1 พ.ต.อ.พนัญชัย ชื่นใจธรรม รอง ผบก.ทท. และ พ.ต.อ.นิธิธร จินตกานนท์ รอง ผบก.สปพ. จนท.ตำรวจท่องเที่ยว และตำรวจ 191 ตร.สน.โชคชัย ร่วมกันแถลงผลจับกุมน.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2535/2560 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ซึ่งเป็นชาวต่างชาติสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจนำเที่ยวในลักษณะทัวร์ต่ำกว่าทุน หรือทัวร์ศูนย์เหรียญ โดยจับกุมได้ที่หมู่บ้านเดอะแพลนท์ ซ.นวมินทร์ 86 แขวงรามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ เมื่อเวลาประมาณ 08.10 น. วันที่ 21 พฤศจิกายนที่ผ่านมา พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า ตามนโยบายของรัฐบาลให้หน่วยงานราชการร่วมบูรณาการกำลังในการปราบปรามกลุ่มบริษัทนำเที่ยวผิดกฎหมายหรือกลุ่มบริษัทนำเที่ยวที่ประกอบการในลักษณะนอมินี รวมถึงกลุ่มบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทย มาประกอบธุรกิจนำเที่ยว ในลักษณะทัวร์ต่ำกว่าทุนหรือทัวร์ศูนย์เหรียญ ซึ่งจะทำให้ภาพลักษณ์การท่องเที่ยวของประเทศไทยเสียหาย และส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศประกอบกับพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. ได้สั่งการให้กองบัญชาการตำรวจท่องเที่ยวดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลอย่างเคร่งครัดและให้มีผลการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมจึงร่วมกับกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทยตำรวจภูธรภาค 6 และกองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ เข้าสืบสวนสอบสวนกรณี น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ อายุ 43 ปี ซึ่งมีพฤติการณ์เป็นบุคคลต่างด้าวสวมบัตรประชาชนเป็นคนไทยมาประกอบธุรกิจนำเที่ยว โดยเป็นกรรมการผู้จัดการบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวล กรุ๊ป (เออีซี) จำกัด พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่อว่า จากการสืบสวนสอบสวนพบข้อมูลว่า น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ ได้ยื่นคำร้องขอมีบัตรประจำตัวประชาชนครั้งแรกเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2545 ที่อำเภอพบพระ ในชื่อเดิม “น.ส.นาคำ มะแนะ” ซึ่งพบว่ามีการปลอมแปลงข้อมูลด้านอายุและปีเกิดของน.ส.นาคำ ในทะเบียนสำรวจบัญชีบุคคลในบ้านที่ออกโดยกรมประชาสงเคราะห์ เพื่อนำมาใช้เป็นเอกสารยื่นประกอบคำร้องขอมีบัตรครั้งแรก โดยใช้หมายเลขประจำตัวประชาชน8-6307-84059-45-4 นอกจากนี้ยังพบว่าในปี 2546 ได้แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็น “สิริภัสสร์” ที่เขตบึงกุ่ม ปี 2552 ใช้ชื่อ “สิริภัสสร์ มาแนะ” แจ้งเปลี่ยนที่อยู่ที่เขตวังทองหลาง และปี 2557 ใช้ชื่อ “สิริภัสสร์ มาแนะ” แจ้งเปลี่ยนที่อยู่เขตยานนาวา พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า จากการตรวจสอบความเคลื่อนไหวทางทะเบียนราษฎร และรวบรวมพยานหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ จึงนำไปสู่การออกหมายจับ น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 2535/2560 ลงวันที่ 18 พฤศจิกายน 2560 ในความผิดฐาน “ยื่นคำขอมีบัตรโดยมิได้มีสัญชาติไทย ด้วยการแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จปกปิดข้อความจริงต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ และใช้หรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จหรือกระทำการเพื่อให้ตนเองมีรายการในทะเบียนบ้านหรือเอกสารการทะเบียนราษฎรโดยมิชอบ และแจ้งให้เจ้าพนักงานผู้กระทำการตามหน้าที่จดข้อความอันเป็นเท็จลงในเอกสารมหาชน หรือเอกสารราชการ ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำหรับใช้เป็นพยานหลักฐาน โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแด่ผู้อื่นหรือประชาชน” พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า จากคำให้การของผู้ต้องหาในเรื่องของการประกอบกิจการทัวร์ศูนย์เหรียญนั้นก็ทราบดีว่าผิดกฎหมาย ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจท่องเที่ยวได้ปราบปรามจนกระทั่งตอนนี้ไม่มีทัวร์ศูนย์เหรียญแล้ว นอกจากนั้นยังพบว่ากระบวนการทัวร์ศูนย์เหรียญยังมีการกว้านซื้อคอนโดเพื่อใช้สำหรับเป็นที่พักของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติโดยหลีกเลี่ยงการเสียภาษีต่อเจ้าหน้าที่รัฐ ที่ผ่านมาตนได้เร่งปราบปรามในเรื่องของการสวมบัตรประชาชนโดยประสานข้อมูลกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวเนื่องกับการดำเนินธุรกิจท่องเที่ยว จนขณะนี้สามารถจับกุมผู้กระทำความผิดได้กว่า 50 รายพล.ต.ต.ชัยวัฒน์ กล่าวว่า คดีดังกล่าวมีประชาชนร้องเรียนเข้ามาเป็นจำนวนมากในเรื่องของการสวมบัตรประชาชน สำหรับผู้ต้องหาคนดังกล่าวเป็นชาวจีน แต่ได้ทำการสวมบัตรประชาชนของชนเผ่าล่าหู่ และได้ใช้ชื่อว่า น.ส.สิริภัสสร์ มะแนะ ซึ่งมีการปลอมเอกสารราชการโดยผู้ต้องหาได้แจ้งเปลี่ยนปีพ.ศ.เกิดจาก พ.ศ.2507 เป็น 2517 จากนั้นได้ทำการเปิดบริษัท ไทยตงหม่ง อินเตอร์เนชั่นแนล ทราเวล กรุ๊ป (เออีซี) ตั้งอยู่ย่านพระราม 9 ซึ่งการกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำความผิด โดยหลังจากนี้จะให้ทางกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำการถอนบัตรประชาชน และจะประสานกระทรวงพาณิชย์ ให้เพิกถอนใบประกอบการ ส่วนกรมท่องเที่ยวจะเพิกถอนใบอนุญาตประกอบกิจการทัวร์ พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากการสอบสวนคดีดังกล่าวได้ดำเนินคดีกับผู้ที่สวมบัตรประชาชนคือน.ส.สิริภัสสร์ ส่วนการดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐไม่สามารถดำเนินคดีได้เนื่องจากคดีขาดอายุความ ประกอบกับไม่สามารถดำเนินการด้านการปกครองได้ เพราะปลัดอำเภอคนดังกล่าวได้ถูกจำคุกในคดีอื่นจึงกรมการปกครองจึงมีคำสั่งให้ปลัดคนดังกล่าวออกจากราชการ น.ส.สิริภัสสร์ ได้ให้การปฏิเสธเรื่องการสวมบัตรประชาชนปลอม แต่ยอมรับว่าได้ประกอบกิจการทัวร์ศูนย์เหรียญจริงโดยเป็นเครือข่ายย่อย จะทำหน้าที่หานักท่องเที่ยวมาส่งให้กับบริษัททัวร์ใหญ่จำนวน 3 ราย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบริษัทโอเอ ด้วย สำหรับขั้นตอนการนำทัวร์จีนเข้ามาในประเทศไทยในราคาที่ถูกกว่าความเป็นจริง เมื่อลูกทัวร์เข้ามาแล้วจะนำลูกทัวร์ไปลงในจุดต่างๆ ตามที่ได้ตกลงกันไว้ โดยหลังจากนั้นจะทำการแบ่งค่านายหน้าและค่าน้ำตามที่กำหนด ตนได้ค่าหัวแต่จากลูกทัวร์รายละ 300 บาท เท่านั้น ภายหลังที่มีการปราบปรามทัวร์ศูนย์เหรียญกิจการของตนก็เจ๊งลง เนื่องจากบริษัทใหญ่หลายรายถูกดำเนินคดี อย่างไรก็ตามตนทราบดีว่าทัวร์ศูนย์เหรียญผิดกฎหมายแต่หากไม่ทำก็ไม่มีเงินใช้ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าน.ส.นาคำ มาแนะ หรือนางคำ โอ้แสง อายุ 51 ปี ผู้เสียหายที่ถูกสวมบัตรประชาชน ได้นำแจกันดอกไม้มาให้กับเจ้าหน้าที่พร้อมทั้งเปิดเผยว่า ต้องขอขอบคุณตำรวจทุกคนที่ช่วยดำเนินการให้ตนได้มีบัตรประชาชน ตั้งแต่ปี 2528 ที่มีการสำรวจจัดทำทะเบียนประวัติและบัตรประจำตัว ตนได้ตกการสำรวจเนื่องจากได้ย้ายไปพักอาศัยอยู่กับแม่ ต่อมามีการสำรวจครั้งที่ 2 ตนก็ไม่สามารถทำบัตรได้เนื่องจากตอนนั้นมีสามีเป็นชาวพม่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาตนได้พยายามติดต่อขอบัตรประชาชนมาโดยตลอด ตนไม่รู้เลยว่ามีคนมาสวมชื่อตัวเองนอกจากนี้พล.ต.ต.สุรเชษฐ์ ได้เปิดเผยว่าภายใน 2-3 วันนี้จะมีการแจ้งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐอีก 2 รายในจังหวัดนครสวรรค์ อีกด้วย//////

Your recent history

  • Recently searched

    • Recently viewed links

      Did you find what you were looking for? Have you got some comments for us?